เชื้อราบนหนังศีรษะ หรือที่เรียกว่า Tinea Capitis เป็นการติดเชื้อราที่เกิดขึ้นบนหนังศีรษะและเส้นผม ซึ่งพบได้บ่อยในเด็กและวัยรุ่น แต่ผู้ใหญ่ก็สามารถเกิดได้เช่นกัน เชื้อรานี้เป็นสาเหตุสำคัญของการผมร่วงเป็นหย่อม ๆ และอาจลุกลามจนทำให้เกิดการอักเสบที่หนังศีรษะได้
สาเหตุของเชื้อราบนหนังศีรษะ
เชื้อราที่ทำให้เกิด Tinea Capitis มักเป็นเชื้อราในกลุ่ม Dermatophytes ซึ่งสามารถแพร่กระจายได้จากการสัมผัสโดยตรงกับคน สัตว์ หรือสิ่งของที่มีเชื้อราปนเปื้อน การใช้ของใช้ส่วนตัวร่วมกัน เช่น หวี หมวก หรือผ้าขนหนู ก็อาจเป็นช่องทางการแพร่กระจายได้
อาการของเชื้อราบนหนังศีรษะ
- ผมร่วงเป็นหย่อม ๆ โดยบริเวณที่ร่วงอาจมีลักษณะเป็นวงกลมหรือวงรี
- หนังศีรษะแห้ง ลอกเป็นขุย หรือมีสะเก็ด
- มีอาการคัน แดง อักเสบหรือบวมบริเวณที่ติดเชื้อ
- ในกรณีที่รุนแรง อาจเกิดตุ่มหนอง ต่อมน้ำเหลืองโต
การวินิจฉัย
แพทย์สามารถวินิจฉัยเชื้อราบนหนังศีรษะได้โดยการตรวจสอบอาการที่ปรากฏ หรือการใช้กล้องจุลทรรศน์ตรวจชิ้นเนื้อหรือเส้นผมที่ติดเชื้อ นอกจากนี้ การใช้แสงอัลตราไวโอเลต (Wood’s Lamp) ยังสามารถช่วยในการระบุเชื้อราได้บางประเภท
การรักษาเชื้อราบนหนังศีรษะ
- ยาต้านเชื้อรา:
การรักษาหลักมักใช้ยาต้านเชื้อราแบบรับประทาน เช่น กริซีโอฟุลวิน (Griseofulvin) หรือเทอร์บินาฟีน (Terbinafine) ซึ่งใช้ต่อเนื่องประมาณ 6-8 สัปดาห์ - แชมพูต้านเชื้อรา:
ควบคู่กับยารับประทาน แพทย์อาจแนะนำให้ใช้แชมพูที่มีส่วนผสมของเซเลเนียมซัลไฟด์ (Selenium Sulfide) หรือเคโตโคนาโซล (Ketoconazole) เพื่อลดการแพร่กระจายของเชื้อรา - การป้องกันการแพร่เชื้อ:
ควรหลีกเลี่ยงการใช้ของใช้ส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น และรักษาความสะอาดของสิ่งของที่ใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น หวี หมวก และหมอน เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อรา
การป้องกันการกลับเป็นซ้ำ
หลังจากการรักษาเสร็จสิ้น ควรดูแลรักษาความสะอาดของหนังศีรษะและเส้นผมอย่างสม่ำเสมอ หลีกเลี่ยงการใช้ของใช้ส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น รวมถึงสังเกตอาการผิดปกติที่อาจเกิดขึ้น เพื่อป้องกันการกลับเป็นซ้ำ
เชื้อราบนหนังศีรษะเป็นปัญหาที่สามารถรักษาได้ แต่ต้องรักษาอย่างถูกวิธีและต่อเนื่อง การป้องกันการแพร่กระจายเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยลดโอกาสการติดเชื้อในกลุ่มคนรอบข้าง หากคุณสงสัยว่าตนเองหรือบุคคลใกล้ชิดอาจมีอาการของเชื้อราบนหนังศีรษะ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและการรักษาที่เหมาะสม